
ล่าแม่มด:ต้นเหตุของสถานการณ์ Moral Panics รวมหมู่กว่าร้อยปี
ต้นเหตุความหวาดกลัวในตัวแม่มด พอสรุปหาสาเหตุได้ตามแนวคิดทฤษฎีสังคมวิทยาบางประการ เช่น ความหวาดกลัวต่อสิ่งที่ไม่รู้จัก สภาวะความเป็นอื่น สภาวะชายเป็นใหญ่ การต่อต้านศาสนาหรือความเชื่อแบบเดียวกัน และสภาวะชายเป็นใหญ่
เริ่มกันที่ส่วนแรก ความหวาดกลัวต่อสิ่งที่แตกต่างออกไปจากตน หรือสภาวะการถูกผลักดันให้เป็นอื่นนั้นมีมาในทุกๆ สังคมและทุกๆ ยุคสมัย อันน่าจะมีที่มาจากการควบคุมของสัญชาตญาณมนุษย์ที่แฝงตัวอยู่ในพันธกรรม ตั้งแต่ครั้งยังเป็นสัตว์ป่าและต้องอาศัยความรู้สึกในการเอาชีวิตรอดล้วนๆ จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่ร่างกายเราจะตอบสนองอย่างตื่นตระหนกต่อสิ่งที่แตกต่างไปจากเรา เพราะมีแนวโน้มว่าสิ่งนั้นอาจจะทำร้ายเราได้
ในครั้งอดีตกาลสัญชาตญาณนี้คงมีความจำเป็นอย่างยิ่งต่อสัตว์ทุกชนิด เพราะมันช่วยให้สิ่งมีชีวิตสามารถเอาชีวิตรอดจากศัตรูได้ แต่เมื่อมนุษย์เริ่มมีความรู้มากขึ้น จนสามารถอยู่ร่วมกันเป็นระบบสังคมได้ตามพื้นที่ต่างๆ สัญชาตญาณดังกล่าวถูกกดเก็บไว้ใต้ระบอบสังคมเพราะไม่จำเป็นต่อการใช้ เอาไว้ใช้ในยามที่มีศึก ไว้ใช้คัดแยกว่าใครเป็นพวกเรา ใครเป็นศัตรูที่เห็นต่างไปจากเราเท่านั้น แต่ในยามศึกสงครามคงเป็นเรื่องปกติที่เราต้องทำการคัดเลือกพวกพ้อง เพื่อให้เรามีผู้ปกป้อง และสิ่งที่เราต้องการจะปกป้อง
แต่ถ้าสัญชาตญาณการคัดกรองศัตรูนี้ถูกนำมาใช้กับสิ่งที่แตกต่างไปจากเราล่ะ? แม่มดในขณะนั้นถูกอ้างจากแหล่งมากมายว่าเป็นสิ่งมีชีวิตชั่วร้าย สามารถเสกมนตร์ดำแช่งชักหักกระดูก สร้างโรคร้าย ภัยพิบัติ มีอำนาจวิเศษสามารถปลุกคนตายให้ฟื้นคืนชีพ ฯลฯ จนมนุษย์ธรรมดาหวาดกลัวต่ออำนาจของเหล่าแม่มด ที่มี
ความสามารถเกินคนทั่วไปจนไม่อาจควบคุมได้ ความแตกต่างระหว่างมนุษย์ธรรมดากับแม่มดจึงเป็นกำแพงชั้นดีในการจับแยกแบ่งกลุ่ม สร้างสภาวะสีขาว-ดำขึ้นมาจนไม่อาจอยู่ร่วมกันได้ โดยใช้พวกที่มากกว่าเป็นเครื่องมือและพลังในการควบคุมอีกฝ่ายที่ดูเหมือนไม่มีผู้ใดควบคุมได้นั้น ให้ทุกข์ทนทรมานจนถึงแก่ชีวิต
ความแตกต่างลวงๆ ที่ถูกสร้างขึ้นมานี้ยังโยงใยไปถึงการสร้างสภาวะความเป็นอื่นขึ้นมาอีกด้วย เมื่ออยู่ในสภาพที่ทุกคนต่างระส่ำระสาย ไม่สงบ หวดกลัวว่าใครจะถูกกล่าวหาว่าเป้นแม่มดอีกหรือไม่นั้น สัญชาตญาณในการเอาตัวรอดของมนุษย์เราจะทำงานด้วยการเกาะกลุ่มพวกเขาพวกเราขึ้นมาทันที สร้างความรู้สึกของการเป็นพวกพ้องเดียวกันให้กับกลุ่มคนที่เล็งเห็นแล้วว่าสามารถอยู่ร่วมกันได้ และจะปลอดภัยแน่นอนหากผลักภาระการถูกทำให้เป็นอื่นตกอยู่ที่คนที่เหมาะสม (ตามความคิดของเรา) ว่าควรจะได้รับสภาพนั้น
ด้วยเหตุนี้เองการคัดกรองพวกพ้องจึงเกิดขึ้น คนในสังคมที่หวาดกลัวต่อการโดนลงทัณฑ์ พยายามคัดสรรผู้สมควรจะรับผิดชอบต่อสภาวะการเป็น “แม่มด” และผลักคนเหล่านั้นให้ออกมาอยู่ในที่แจ้งเพื่อปกป้องตนเองและพวกพ้อง กลุ่มหญิงชรา หญิงม่าย หญิงสาวสวย และหญิงที่ดูฉลาดเกินไป จึงถูกชี้ตัวในทันทีว่าเป็นแม่มด และต้องนำไปทรมานเพื่อให้ยอมรับโทษ กลุ่มผู้ที่เป็นผู้ชี้ตัวและอยู่รอดปลอดภัยจึงจะสบายใจ
แน่นอนว่าคงไม่ใช่ทุกคนที่เห็นด้วยกับการล่าแม่มดในรูปแบบดังกล่าว การลงทัณฑ์ทรมานแบบไม่มีสาเหตุและการจับกุมโดยไม่มีการตรวจสอบนั้น คนดีๆ ที่ไหนดูก็รู้ว่าเป็นเรื่องไร้สาระและไม่มีความยุติธรรม แต่สภาพสังคมที่กำลังวุ่นวายและอ่อนแอเพราะตกอยู่ภายใต้ความหวาดกลัว (ทั้งจากบทลงโทษของศาสนจักร และภัยจากแม่มดจริงๆ ที่ไม่รู้ว่ามีจริงหรือเปล่า) ใต้สภาวะแบบนั้นสติปัญญาของมนุษญืจึงอาจตกอยู่ในความมืดบอดและถูกลวงตา ผู้ที่มีความคิดเห็นแตกต่างออกไปและพยายามร้องเรียนจึงถูกเหมารวมว่าเป็นหนึ่งในแม่มด และถูกนำไปเผาทรมาน จนสุดท้ายก็ไม่มีใครกล้าส่งเสียงอะไรที่เห็นต่างออกไป สภาวะความเป็นอื่นจึงทำงานได้ในลักษณะนี้เอง
อีกมุมหนึ่งก็คือกลุ่มที่ถูกล่าตัว เหล่าแม่มดทั้งหลายต่างก็รู้ดีว่าท่ามกลางสถานการณ์เยี่ยงนี้ส่งเสียงอะไรไปก็คงไม่สร้างความแตกต่างอะไร ผลจากสภาวะความเป็นอื่นยิ่งทำให้พวกเธอแตกต่างไปจากกลุ่มคนทั่วไปมากขึ้นไปอีก ไม่กล้าเข้าไปคุยกับใคร เพราะไม่มีใครกล้าคุยด้วยและกลัวว่าคนที่ตัวเองคุยด้วยจะได้รับความเดือดร้อน การช่วยเหลือจึงไม่ได้รับ จำเป็นต้องเกาะกลุ่มกับคนที่ถูกกล่าวหาเช่นเดียวกันไว้เผื่อในกรณีที่ต้องขอความช่วยเหลือจากใคร นั่นยิ่งส่งเสริมแนวคิดของพวกคนภายนอกที่คิดว่าแม่มดชอบอยู่รวมกลุ่มกันเข้าไปใหญ่ จนนำไปสู่การบังคับทรมานให้บอกชื่อของผู้ที่เป็นแม่มดด้วยกันออกมานั่นเอง
ต้นเหตุโดยรวมเท่าที่มีผู้วิเคราะห์มากที่สุดก็คือ การขึ้นครองอำนาจอย่างรุ่งโรจน์ของศาสนจักร ว่ากันว่ากลุ่ม (ที่ถูกเรียกว่าเป็น) แม่มด นับถือลักทธินอกรีต หรือว่ากันไปจนถึงนับถือซาตานเพื่อขอยืมพลังในการรักษาเลยทีเดียว ความตอนหนึ่งของไบเบิลถึงกับระบุไว้ว่า "สูเจ้าจะต้องไม่ทรมานแม่มดด้วยการปล่อยให้มีชีวิต Thou shalt not suffer a witch to live” เพื่อสร้างความชอบธรรมให้กับการล่าแม่มด
หากวิเคราะห์ตามหลักการ ศาสนจักรในขณะนั้นคงหวาดกลัวกลุ่มคนที่ไม่ได้เชื่อในพระเจ้าเป็นอย่างมาก เพราะนอกจากจะดูเป็นพวกนอกรีต ไม่อยู่ในการดูแล และควบคุมไม่ได้แล้ว กลุ่มคนเหล่านี้อาจแพร่กระจายความเชื่อดังกล่าวไปสู่กลุ่มอื่นๆ จนเกิดเป็นลัทธิต่างๆ ขึ้นมาทดแทนความเชื่อที่มีต่อพระคริสต์ ซึ่งศาสนจักรในขณะนั้นเท่าที่มีการตรวจสอบย้อนกลับไปในเส้นทางประวัติศาสตร์ จะพบว่าพระสันตะปาปากุมอำนาจทั้งผู้นำศาสนาและผู้นำทางการเมือง (ภายใต้หรือเท่าเทียมกับการดูแลของกษัตริย์) การที่คนในการปกครองไม่เชื่อในศาสนาคริสต์อาจนำไปสู่ความมั่งคั่งที่ลดลงของสถาบันหลักก็เป็นได้
ลงมาที่กลุ่มประชาชน ที่มีความเชื่อทางศาสนาคริสต์สูง และยังไม่มีการตระหนักรู้อย่างชัดเจนในเรื่องของสิทธิทางด้านความเชื่อที่แตกต่างไปจากตน ย่อมง่ายต่อการถูกชักนำให้มองคนกลุ่มนี้เป็นศัตรูอยู่แล้ว เพราะกลุ่มแม่มดที่มีความเชื่อต่างออกไปจะถูกกล่าวหาว่าเป็นศัตรูกับพระเจ้า รับใช้ซาตาน ทำสิ่งน่าไม่อายด้วยการดูหมิ่นพระเจ้า ขัดต่อพระคัมภีร์ไบเบิ้ล ซึ่งเราก็ทราบกันดีว่าเมื่อเป็นเรื่องของศาสนาแล้วสามารถพาไปสู่สงครามและความเกลียดชังที่ยิ่งใหญ่ได้เสมอๆ จึงไม่ยากเลยที่การอ้างศีลธรรมความดีงามจะถูกนำมาใช้กำจัดความชั่ว ความไร้ศีลธรรม และผู้ที่นำพามันมาสู่สังคม เมื่อศาสนจักรมีคนกลุ่มนี้อยู่ในมือ เลยไม่ใช่เรื่องยากที่จะจัดการกับกลุ่มแม่มด
ประเด็นใหญ่ที่สุดที่เป็นต้นตอของสิ่งทั้งปวง คือสภาวะชายเป็นใหญ่ (Patriarchy) ซึ่งครอบคลุมเรื่องทุกเรื่องนี้ไว้ด้วยกัน หญิงเหล่านี้ที่ถูกกล่าวหาว่าเป็นแม่มด มีความเป็นไปได้ว่าเป็นหญิงสาวที่ไม่อยู่ในสภาพขนบธรรมเนียมตามแบบที่ควรจะเป็น หญิงผู้นั้นอาจสวยเกินไป ฉลาดเกินไป มีอำนาจควบคุมผู้คนมากเกินไป จนกลายเป็นภาพที่แตกต่างออกไปจากสิ่งที่ผู้หญิงควรจะเป็นคือเชื่อฟังสามี อ่อนน้อม สุภาพ มีสัมมาคารวะต่อผู้ชาย และเป็นช้างเท้าหลัง ประเด็นนี้เชื่อมโยงไปถึงศาสนาคริสต์ด้วยที่ยกยอปอปั้นผู้ชาย และให้สิทธิผู้ชายในการควบคุมสิ่งต่างๆ และมองผู้หญิงเป็นภัยร้ายและเป็นแค่ตัวชักนำกิเลสเท่านั้น
เห็นได้จากเรื่องของอดัมกับอีฟตามความเชื่อของศาสนาคริสต์ ที่ว่าอีฟ (ฝ่ายหญิง) เป็นผู้ชักนำโลกใบนี้ให้เข้าสู่ความเลวร้าย ผู้หญิงจึงถูกลดทอนให้ไม่อยู่ในสถานะที่เท่าเทียมกับชาย โดยมีองค์ประกอบทางด้านร่างกาย สรีระ ความสามารถในการให้กำเนิด ระดับสติปัญญาและสมรรถภาพทางกายและสมอง นิสัยอ่อนช้อยและบอบบาง อ่อนโยนกว่าผู้ชาย เหล่านี้ทำให้ผู้หญิงตกอยู่ในสถานะที่ไม่อาจเอาตัวรอดได้หากขาดผู้ชาย ผู้หญิง “จำเป็น” ต้องมีผู้ชาย ซึ่งในความเป็นจริงแล้วอาจจะไม่จำเป็นก็เป็นได้
เมื่อความเชื่อแม่มดรุกลาม แน่นอนว่าเรื่องสั่นสะเทือนสภาวะชายเป็นใหญ่อย่างรุนแรง เพราะผู้หญิงกลุ่มนี้มีความสามารถที่จะเอาตัวรอดได้ด้วยตนเอง อีกทั้งยังเชื่อกันว่ามีพลังอำนาจที่ต่อให้เป็นชายแข็งแกร่งเพียงใดก็ไม่สามารถต่อกรกับเวทมนตร์ของพวกนั้น หญิงเหล่านี้เป็นตัวแทนที่สื่อถึงสิ่งที่ผู้ชายกดผู้หญิงมาโดยตลอดในสังคม ด้านมืดต่างๆ ของผู้หญิง เสน่หา มนตรา อำนาจการควบคุมผู้ชาย และสิทธิที่จะไม่ตกอยู่ใต้การควบคุมของผู้ชาย เป็นสิ่งสะท้อนให้เห็นถึงความเป็นไปได้ของระบบหญิงเป็นใหญ่ (Matriarchy) ซึ่งเป็นสิ่งที่สังคมชายเป็นใหญ่ไม่อาจยอมรับได้ จนนำไปสู่การล่าแม่มดเพื่อสยบผู้หญิงที่คิดจะต่อต้านอำนาจชาย และกดผู้หญิงคนอื่นให้รู้จักวางตัวให้เหมาะสมในสภาพสังคมดังกล่าว
เมื่อองค์ประกอบเหล่านี้ทั้งหมดรวมกัน จึงไม่ยากเลยที่คนในสังคมขณะนั้นจะตกอยู่ในใต้สภาวะความตื่นตระหนกทางศีลธรรม (Moral Panic) จนนำไปสู่การตายของคนเกือบสองแสนคนในช่วงเวลาเป็นร้อยปีกว่าความเชื่อนั้นจะหายไปจากสังคมในที่สุด พร้อมๆ กับการเจริญเติบโตของวิทยาศาสตร์ และหลักความรู้ของเหตุและผล
ที่น่าตั้งคำถามก็คือว่า ศีลธรรมอันใดที่แกร่งกล้ามากพอ ให้คนๆ หนึ่งคิดว่าตนเองมีสิทธิในการตัดสินชีวิตผู้อื่น โดยอาศัยความเป็น “คนดี” และความถูกต้องชอบธรรมมาเป็นข้ออ้าง ในการกระทำเรื่องที่เลวร้ายได้ขนาดนั้น เพราะอะไรสังคมถึงยอมให้เรื่องนี้เกิดขึ้นโดยไม่ตั้งคำถามและปล่อยให้เรื่องนี้เกิดขึ้นเป็นเวลายาวนาน เพราะอะไรและทำไมที่เราจำเป็นจะต้องมีความรู้ ก่อนสัญชาตญาณง่ายๆ อย่างการเห็นเพื่อนมนุษย์เป็นพวกพ้องเดียวกัน ถ้าเราไม่ได้เรียน ไม่ได้ศึกษา เราจะไม่เข้าใจแนวคิดดังกล่าวได้เลยเชียวหรือ ความเมตตากรุณาในใจเราไม่ได้มีอยู่แล้วหรืออย่างไร
หรือความดีงามทั้งหลายไม่ได้มีอยู่จริง เราเพียงสร้างมันขึ้นมาให้สอดคล้องกับสภาพสังคม ณ เวลานั้นเท่านั้นเอง.