
TOGETHER
เราแตกต่างกันจริงหรือ?
เพราะอะไรกัน ปัจจัยตัวไหนกันแน่ที่แบ่งแยกพวกเราออกจากความเป็นหนึ่งเดียว ผลักพวกเราให้ห่างกันออกไปจากความเข้าใจที่ควรจะเกิดขึ้นได้เมื่อใกล้ชิดกัน แต่ความห่างเหินและแปลกแยกกับทำให้เรานึกถึงแต่ตนเอง และละเลยที่จะทำความเข้าใจในตัวผู้อื่นอย่างสิ้นเชิง เราแตกต่างกันมากขนาดที่ว่าต่อให้เราจะลองใช้ความพยายามของเราในการเข้าถึงผู้อื่นอย่างสุดความสามารถเพียงใด เราก็ทำไม่ได้เลยอย่างนั้นหรือ เราปล่อยให้อะไรบางอย่างมาคั่นกลางระหว่างเรากับผู้อื่นอยู่หรือเปล่า เกราะที่เราสร้างขึ้นมาเพื่อปกป้องตัวเองนั้น สุดท้ายแล้วมันได้กลายเป็นเครื่องมือกีดขวางคนอื่นให้ออกห่างจากเราไปหรือเปล่า
การอยู่ร่วมกันกับคนอื่นไม่ใช่เรื่องง่าย เรารู้กันดีทุกคน ต่างฝ่ายต่างมีความคิดเห็น มีทัศนคติที่แตกต่างกันออกไป เพียงแค่คนอื่นที่คิดต่างไปจากเรา เราก็เรียกว่า “พวกเขา” ซะแล้ว ไม่มี “พวกเรา” อีกต่อไป การผลักไสให้คนอื่นห่างออกไปนั้นคือหนึ่งในวิธีการป้องกันตัวขั้นพื้นฐานของพวกเรา เพื่อความปลอดภัย เพื่อความสบายใจของพวกเราเอง เราหลงลืมที่จะใส่ใจสิ่งรอบข้าง ลืมแม้แต่ที่จะทักทายผู้คนที่เดินผ่านและเห็นหน้าค่าตากันอยู่ทุกวัน เราให้ความสนใจกับสิ่งมีชีวิตอื่นน้อยมาก เราเลือกที่จะอยู่กับตัวเราเองและปล่อยให้คนอื่นใช้ชีวิตไปตามประสาเขา
นี่เป็นเรื่องใหญ่ ประวัติศาสตร์สอนให้เราเห็นมานักต่อนักแล้วว่าการละเลยกันนั้นไม่เคยส่งผลดี ทั้งการแบ่งพรรคแบ่งพวก การยกยอตัวเองให้สูงขึ้น หรือการกดคนอื่นให้ต่ำลง การเพิกเฉยกันและกัน หรือการคิดว่านี่ไม่ใช่เรื่องของเราก็ตามที เหล่านี้ล้วนเป็นปัญหาระดับฝังรากลึกที่ทำให้เราไม่สามารถแก้ไขปัญหาได้จริงๆ สักที เอาเข้าจริงๆ แล้วการ “เอาใจเขามาใส่ใจเรา” นั้นไม่ง่ายเลย มันไม่ง่ายเลยที่จะลองเข้าใจคนอื่น เพราะพื้นฐานพวกเราต่างกัน ความคิดต่างกัน เติบโตมาก็ล้วนแล้วแต่แตกต่างกัน เราจึงต้องให้เกียรติในการมีชีวิตอยู่ของผู้อื่นเสมอ เราต้องไม่ลืมว่าคนอื่นก็มีชีวิตของเขาเองเช่นกัน มีเรื่องราวที่เขาเผชิญ มีทัศนคติ มีมุมมองที่เราอาจไม่เข้าใจ ด้วยเหตุนั้นเราจึงต้องระมัดระวังและรอบคอบ เพราะการที่เราแตกต่างกันมากนี่แหละ ที่ทำให้เรามีส่วนเกี่ยวข้องกันอย่างแยกไม่ออก
เราต้องยอมรับว่าการมีชีวิตอยู่ของเราส่งผลถึงคนอื่นเสมอ เราไม่ได้อาศัยอยู่บนโลกนี้คนเดียว เราไม่สามารถทำเป็นว่าสิ่งที่เราทำลงไปนั้นไม่มีผลกระทบอันใด ต่อให้เป็นเรื่องเล็กน้อยแค่ไหนก็ตามที เรื่องบางเรื่องก็อ่อนไหวเหลือเกิน ต้องใช้มากกว่าการทำความเข้าใจถึงจะเข้าใจกันได้ เราต้องใช้ใจของเราเป็นพื้นฐาน เมื่อไหร่ที่เราเอาใจเราลงไปทั้งใจแล้วนั่นแหละ เราถึงจะสัมผัสถึงตัวตนของคนอื่นได้จริงๆ เพราะเราไม่สามารถตัดสินคนอื่นจากภายนอกได้เลย เราต้องเข้าใจว่าทุกคนมีเหตุผล มีจุดประสงค์ มีสาเหตุของการกระทำที่ต่างคนต่างก็ตัดสินใจกันมาแล้ว อย่าปล่อยให้เปลือกนอกหรือระบบสังคมมาบังตาเราจากความจริงที่ซ่อนอยู่ในตัวผู้อื่นเด็ดขาด
มันสำคัญมากที่เราจะต้องพยายาม เพราะนี่คือหนทางเดียวในการแก้ไขปัญหาทุกปัญหาของโลกเรา ไม่ใช่แค่คนอื่น แต่เป็นสิ่งมีชีวิตอื่นอีกด้วย แม้กระทั่งโลกใบนี้ เมื่อใดที่เราตระหนักได้ถึงความเชื่อมโยงระหว่างเรากับสิ่งอื่นๆ อย่างแยกจากกันไม่ออกแล้วล่ะก็ เราจะเข้าใจว่าจริงๆ แล้วพวกเราไม่ได้ต่างกันเลย เราไม่ได้ถูกแบ่งแยกด้วยอะไรทั้งนั้น เพราะนั่นไม่ใช่วิถีของธรรมชาติ ไม่มีเธอ ไม่มีฉัน ไม่มีตัวเอง ไม่มีคนอื่น มีแต่ “พวกเรา”
พวกเราที่ล้วนแล้วแต่เป็นหนึ่งเดียวกันโดยสมบูรณ์.