top of page

พัก

โทรศัพท์ดังขึ้น ผมกดรับ

 

“ฮัลโหล”

 

“นี่แกอยู่ไหน”

 

“อยู่มหาลัยอ่ะ”

 

“ทำอะไรอยู่”

 

“ทำงาน”

 

“งานอะไรอีกละ”

 

“ก็เหมือนเดิม งานที่คณะอ่ะแหละ”

 

“เสาร์อาทิตย์นี้ว่างหรือเปล่า”

 

“มีประชุมอ่ะแม่”

 

“นี่แกไม่ได้กลับบ้านมาสองเดือนแล้วนะ มีแต่แม่เนี่ยแหละที่ไปหาแกที่หอ”

 

            ผมเงียบไป เป็นความจริงที่ว่าผมไม่ได้กลับบ้านมานานแล้ว เพราะมีงานนู้นบ้างงานนี้บ้าง งานที่มหาวิทยาลัยช่วงนี้ก็วุ่นวาย เพราะเป็นช่วงเปิดเทอมหลังจากที่น้ำท่วมหนักไปพอดี ทำให้อะไรๆ หลายๆ อย่างที่ควรจะราบรื่นก็ดันเกิดติดขัดกันขึ้นมา แผนการที่วางกันไว้ล่วงหน้าก็ต้องปรับเปลี่ยนกันหลายอย่าง คนที่ทำงานกันก็มีอยู่น้อย ไหนจะเรื่องเข้าใจไม่ตรงกันบ้าง พูดกันไม่รู้เรื่องบ้าง พาลจะทะเลาะกันได้ทุกเรื่องอีก ผมที่เป็นหนึ่งในคนทำงานก็เลยต้องรับมือกับปัญหาที่มาทุกด้าน เวลาที่จะทำงานก็ยังมีน้อย ก็เลยต้องทำงานกันหามรุ่งหามค่ำจนไม่มีเวลาได้กลับบ้านกลับช่องในช่วงสุดสัปดาห์ตามปกติเหมือนที่เคย แม่แกก็เลยบ่นมาบ่อยในครั้งหลังๆ ที่คุยโทรศัพท์กัน

 

“แล้วพ่อเป็นไงบ้างอ่ะแม่”

 

“พ่อแกก็เหมือนเดิมน่ะแหละ แต่ช่วงเนี้ยเขาเครียดเยอะ ทำงานจะเกษียณอยู่แล้ว เป็นถึงระดับหัวหน้าแต่ยังต้องลงมาทำงานแทนลูกน้องตั้งหลายอย่าง”

 

“อ้าว แล้วทำไมพ่อไม่ปล่อยให้ลูกน้องทำล่ะ”

 

“ก็พ่อเขาไว้ใจคนอื่นที่ไหน เห็นเด็กมาใหม่มือไม้อ่อนทำงานทำการไม่เป็นก็ลงไปทำแทนแล้ว กลัวทำงานพลาด แล้วสินค้ามันออกมาไม่ดีล่ะมั้ง”

 

           ผมเปลี่ยนเรื่องมาคุยเรื่องพ่อแทน แม่จะได้ไม่ต้องซักไซร้ไล่เรียงเรื่องที่ผมไม่กลับบ้าน แม่ผมก็คุยต่อ แต่แกไม่ลืมหรอกว่าคุยอะไรกันไว้ เดี๋ยวสักพักก็คงย้อนกลับมาถามเรื่องเดิมอีก

 

“งั้นแม่ก็พาพ่อไปเที่ยวที่ไหนไกลๆ สักที่ หาเวลาพักผ่อนให้พ่อเขาบ้างดิ”

 

“แม่ชวนแล้วพ่อแกเขาไปไหมล่ะ เสาร์อาทิตย์ที่ผ่านมาแม่ชวนออกไปข้างนอกทุกวัน แต่พ่อเขาก็ไม่ไป บอกว่ารอแกกลับมาก่อนจะได้ไปเที่ยวกันพร้อมหน้าพร้อมตา”

 

“ก็ไปกันสองคนบ้างก็ได้ ไม่เบื่อหรือไงไปเที่ยวกันสามคนบ่อยๆ”

 

“นี่ บ้านเรามันก็มีอยู่กันสามคนเท่านั้นแหละนะ ต่อให้เบื่อกันยังไงแต่ถ้าขาดไปคนหนึ่งมันก็ไม่ใช่แล้วล่ะ พูดอะไรคิดหน่อย”

 

“จะให้ทำยังไงก็มันกลับบ้านยังไม่ได้”

 

“แน่ใจนะว่ากลับไม่ได้ แม่เข้าใจนะว่างานแกเยอะ แต่แกพยายามแล้วใช่ไหมที่จะกลับบ้านกลับช่องกับเขาบ้าง หรือว่าจริงๆ แล้วไม่ได้อยากกลับ”

 

“อยากสิแม่ แต่ว่ามันไม่ว่างจริงๆ นี่นา นี่เดี๋ยวอาทิตย์หน้าก็ได้กลับแล้วล่ะ น่าจะว่างแล้ว”

 

“แกก็พูดอย่างนี้มาสองอาทิตย์แล้วนะ แม่ก็ยังไม่เคยเห็นแกกลับมาได้สักที”

 

            ผมเงียบไปอีกครั้ง เป็นความจริงอีกเช่นกันที่พอถึงเวลาจะได้กลับบ้านจริงๆ ก็จะต้องมีเหตุผลที่ต้องอยู่มหาวิทยาลัยแทนทุกที ผมฟังเสียงแม่ถอนหายใจไปหลายวิ 

 

“แล้วนี่แม่อยู่ไหนอ่ะ”

 

“อยู่ที่ทำงานสิ วันนี้วันธรรมดานะ”

 

“ตังค์ยังไม่ได้ให้เลยนะ สองอาทิตย์แล้ว”

 

“แกก็อยู่ได้นี่ ไม่เห็นโทรมาขอเลย”

 

“ยืมเพื่อนไปก่อนไง”

 

“งั้นเดี๋ยวโอนไปให้ก็ได้ แล้วแกกินข้าวรึยัง”

 

“กินแล้ว เพิ่งกินเมื่อกี้เอง”

 

แม่ผมเงียบไป

 

“... จะทำอะไรน่ะ สนใจคนรอบข้างด้วยนะ อย่ามัวแต่ทำงานจนลืมคนอื่น”

 

“อืม”

 

“ถ้ามีเวลาก็กลับมาบ้านบ้าง มาพักผ่อนเอาที่บ้านนี่แหละ”

 

“แต่ช่วงนี้มันไม่มีเวลาจริงๆ นะแม่”

 

“แม่เข้าใจ แต่แกก็ต้องพักผ่อนบ้าง”

 

“เวลาพักมันไม่มีน่ะสิแม่”

 

“ระวังด้วยนะ แกอาจจะคิดว่าแกไหว แต่ถึงเวลาแกล้มขึ้นมา แกอาจจะลุกไม่ขึ้นอีกเลยก็ได้นะ”

 

“โห ดูยิ่งใหญ่จังแม่ ก็เว่อร์ไปทำงานแค่นี้เอง”

 

            “แม่ไม่ได้เว่อร์ นี่มันเรื่องจริง ตอนนี้แกยังไม่เท่าไหร่ ไปอีกสักพักแกก็จะเหนื่อยกว่านี้อีก แม่กับพ่อน่ะ ถึงงานจะหนักแต่ก็ได้กลับมาบ้านนะ มาเจอหน้ากันทุกวัน แต่แกอยู่แต่มหาลัย เจอเพื่อนเยอะแยะ แต่ถึงเวลากลับหอแกก็ไปอยู่คนเดียว”

 

“ไม่เห็นเป็นไรเลย ก็อยู่ได้มาตั้งนาน”

 

“แต่ปกติแกกลับบ้านทุกอาทิตย์ หรืออย่างน้อยก็สองสามอาทิตย์กลับบ้านทีนึง แต่นี่มันจะปาเข้าไปสองเดือนแล้ว ไม่คิดถึงบ้านหรือไง”

 

“คิดถึงน่ะคิดถึง แต่ก็ไม่ได้ขนาดเป็นพวกโฮมซิกตลอดเวลานะแม่”

 

 

            “แม่ถึงได้บอกไงว่าแกยังไม่เห็นภาพ แกยังไม่รู้ตัวว่าการที่แกไม่ได้กลับบ้านมันส่งผลอะไรบ้าง ที่พูดนี่ไม่ได้เอาความดีความชอบเข้าตัวพ่อแม่ หรือจะให้พ่อแม่เป็นที่พักใจเวลาเหงาหรอกนะ แม่กำลังพูดถึงบ้าน บ้านที่อยู่มาตั้งแต่เกิด ตั้งแต่เด็กๆ พอห่างไปนานๆ ก็เหมือนแกเป็นนกที่บินออกไปแล้วไม่ได้กลับรังน่ะแหละ ไม่มีที่ไหนที่เป็นที่พักของแกจริงๆ”

 

            ผมเงียบไปเป็นครั้งที่สาม บอกตรงๆ ปกติแล้วผมเป็นคนไม่คิดถึงบ้านเลย ที่กลับบ้านไปเพราะคิดถึงพ่อกับแม่เท่านั้น แต่มันก็อาจจะจริงอย่างที่แม่แกว่าก็ได้ ที่ว่าตอนแรกผมกลับบ้านอย่างน้อยอาทิตย์ละครั้งก็เลยทำให้ไม่ได้คิดถึงบ้านมาก บ้านผมก็ดันอยู่ใกล้กรุงเทพฯ ก็เลยกลับได้บ่อยๆ ผิดกับเพื่อนบางคนที่อยู่ต่างจังหวัดไกลๆ นานๆ ทีถึงจะได้กลับบ้านเหมือนคนอื่นเขาบ้าง 

 

แม่คงเห็นผมเงียบ ก็เลยพูดต่อ

 

            “ปกติเวลาแม่กลับมาบ้านแม่ก็จะเห็นแก เห็นพ่ออยู่กันพร้อมหน้า แต่ตอนนี้ กลับบ้านไปแม่ก็เจอแต่หน้าพ่อ แกหายไปมันก็เหมือนมีอะไรหายไปด้วยรู้ไหม นี่แหละเหตุผลที่อยากให้แกกลับบ้านบ้าง อย่างน้อยให้รู้สึกว่าที่นี่ยังเป็นบ้านของแกอยู่ แต่ถ้าไม่แกไม่อยู่ บ้านหลังนี้มันดูยังไงมันก็ไม่ใช่บ้านสำหรับแม่หรอกนะ

แล้วที่บอกไปเมื้อกี้เรื่องที่แกต้องพัก เดี๋ยวแกทำงานอะไรพวกนี้เสร็จแกก็คงจะรู้เองแหละ ว่าอะไรบางอย่างมันหายไป อะไรที่แกไม่ได้รับการเติมให้เต็มเหมือนปกติ ช่วงเนี้ย ถ้าให้บอกตรงๆ จิตใจแกกำลังอ่อนไหวมากขึ้นเรื่อยๆ ตอนนี้ที่มันยังไม่มีอะไรเพราะแกยังไม่เจอปัญหา แต่ถ้ามันมีขึ้นมาล่ะก็ แกเจอหนักแน่”

 

“เว่อร์อีกแล้ว”

 

            ผมพูดไปอย่างนั้นเอง ที่จริงแล้วผมว่าผมเข้าใจว่าแม่ต้องการจะบอกอะไร แต่ก็คงเป็นอย่างที่แม่ว่าอีกแหละ ผมเข้าใจแค่ทฤษฎี แค่สิ่งที่คิดว่าตัวเองต้องเจอ แต่ถ้าเจออะไรขึ้นมาจริงๆ ผมก็ไม่รู้ว่าผมจะรับมือยังไงเหมือนกัน

 

            “เอาเถอะน่า ที่พูดๆ ไป แม่ผ่านมาแล้วทั้งนั้น ที่คิดว่าบ้านก็แค่บ้าน ก็แค่ที่ที่กลับไปแล้วนอนน่ะ มันก็ใช่ แต่มันยังมีอะไรมากกว่านั้นอีกเยอะ อะไรที่แกจะไม่มีทางรู้จนกว่าจะไม่มีมันน่ะ”

 

“อ่าฮะ”

 

“ยังไงที่บอกไปทั้งหมดก็คืออยากให้แกกลับบ้านนั่นแหละนะ”

 

“จะพยายาม”

 

“โทรหาพ่อโทรหาแม่บ้างก็ดี ไม่ต้องคุยเยอะหรอก แค่โทรหาบ้างก็พอ”

 

“จ้า”

 

“ถ้าเสาร์อาทิตย์นี้ว่างก็กลับบ้านล่ะ”

 

“อ่าฮะ แต่ยังไม่แน่ใจนะ”

 

“แต่ถ้าไม่ว่างเดี๋ยวแม่ไปหาเหมือนเดิมก็ได้”

 

“โอเค”

 

“ดูแลตัวเองด้วย พักผ่อนเยอะๆ เข้าเรียนด้วย แค่นี้แหละ”

 

“ครับ”

 

ผมวางสาย.

 

bottom of page