
THE JOURNAL
รู้สึกต่อต้านทุกครั้งเวลาได้ยินคำพูดประเภทที่บอกว่าให้เราก้าวเดินต่อไป โลกนี้ยังมีอะไรมากที่รอให้เราค้นพบ จงออกไปค้นหาแล้วเราจะได้รู้จักตัวเองมากขึ้น
เรื่องของเรื่องก็คือชีวิตคนเราทุกวันนี้ก็เร่งรีบกันมากพออยู่แล้ว อาจดูเป็นเรื่องธรรมดาเพราะเคยได้ยินได้ฟังกันจนคุ้นหู แต่ปัญหาของการใช้ชีวิตอย่างไม่ได้หยุดพักก็ยังมีอยู่จริง และไม่ได้หายไปไหน คือการสะดุดหกล้มยามเผชิญหน้ากับความไม่เที่ยงแท้แน่นอนของชีวิต เรารีบตื่น รีบกิน รีบนอน รีบเรียน รีบไปทำงาน รีบเก็บเงิน รีบใช้เงิน รีบมีครอบครัว รีบสร้างรากฐานให้มั่นคง บางทีก็ดูเหมือนเรารีบตายด้วยซ้ำ ปัญหาของการใช้ชีวิตแบบนี้อาจจะไม่มีอะไรเลยก็ได้ หากทุกขณะที่เราก้าวเท้าเดินอย่างเร่งรีบอยู่นั้นเรามีสติรู้ตัวว่าเรากำลังเดินไปทางไหน ไปกับใคร กำลังจะไปเจออะไร และเราสามารถบริหารเวลาที่เหลืออยู่กับเป้าหมายในชีวิตให้ลงตัวกันได้อย่างงดงาม
แต่ปัญหาคือเราทุกคนไม่ได้เป็นแบบนั้น ถึงแม้นักวิ่งที่ดีย่อมรู้ขีดจำกัดของประสิทธิภาพร่างกายตนเอง แต่ไม่ใช่ทุกคนที่จะเป็นนักวิ่งชาญสนาม บนลู่วิ่งแห่งชีวิตไม่มีใครรู้ว่าระยะทางจะสิ้นสุดลงตรงไหน ทุกโค้งเลี้ยวแห่งความไม่แน่นอนมีกลไกของโชคชะตาคอยกำกับหนทางอยู่เสมอ แม้แต่นักวิ่งที่ยอดเยี่ยมที่สุดก็ไม่ใช่ว่าจะวิ่งได้อย่างตลอดรอดฝั่ง จึงเป็นเรื่องจำเป็นที่เราทุกคนต้องมีจังหวะเวลาให้หยุดพัก มีช่วงเวลาที่เราได้เดินทอดน่องเรื่อยเปื่อย ทำเป็นลืมเป้าหมายที่อยู่ข้างหน้า ทรุดตัวลงนั่งเฝ้าสังเกตสิ่งรอบกาย ไม่ใช่เพียงแค่หยุดให้ร่างกายได้พักหายใจหายคอบ้างเท่านั้น แต่ยังเป็นการหยุดเพื่อตรวจสอบตัวเราเอง ว่าพร้อมสำหรับการวิ่งระยะไกลบนเส้นทางนี้ต่อไปหรือไม่ หยุดเพื่อสังเกตเส้นทางที่เราวิ่งผ่านมา พร้อมกับคำนวณเส้นทางที่เราเหลืออยู่ ทบทวนสิ่งที่เกิดขึ้นระหว่างทางว่าเราทำได้ดีเพียงพอแล้วหรือยังบนถนนชีวิตเส้นนี้ และเตรียมรับมือกับอุปสรรคที่พร้อมจะเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อบนเส้นทางข้างหน้า
ว่ากันว่าหนึ่งในความงดงามของศิลปะด้านดนตรีคือเสียงของความเงียบ หากเป็นเช่นนั้นจริง ความงดงามของศิลปะการเดินทางแห่งชีวิต คงเป็นการได้หยุดพักเท้าอยู่ที่ไหนสักที่ไม่ต่างกัน และต่อให้เป้าหมายจะอยู่อีกไกลขนาดไหน บนถนนที่คนทุกคนกำลังวิ่งอยู่ อาจจะไม่ผิดมากนักก็ได้หากเราจะเป็นคนเดียวที่ยังคงก้าวเดิน
หรือถ้าเราลองหยุดมองย้อนกลับไปดีๆ เราอาจจะวิ่งผ่านเส้นชัยมานานแล้วก็เป็นได้.