
เมื่อพระคือคนที่ใช่ และสีกาคือใครคนนั้น
เรื่องย่อ
เรื่องราวของชายหนุ่มปละหญิงสาวที่พบเจอกันและรักกันในรั้วมหาวิทยาลัย มีความสัมพันธ์ลึกซึ้ง และกลับต้องแยกจากกันไปด้วยสิ่งที่ไม่อาจระบุได้ว่าเป็นเวรกรรมหรือชะตาฟ้าลิขิต นิยายในเรื่องใช้วิธีการเล่าสลับเหตุการณ์ในปัจจุบันที่เทียนรุ่งมีปัญหากับสามีแล้วไปเจอพบกับรัตนที่บวชเป็นพระอยู่ในจังหวัดห่างไกล เมื่อยามที่เธอต้องการจะหลีกหนีจากทุกสิ่งไปหาความสงบ กับเหตุการณ์ในอดีตที่เป็นการพบเจอกันของทั้งสอง ได้รู้จักจนกระทั่งรักกันและต้องแยกทางจากกันไปนาน
“รัตน” และ “เทียนรุ่ง” พบเจอกันครั้งสมัยเรียนมหาวิยาลัยด้วยกัน รัตนเป็นหนุ่มวิศวะฯ เทียนรุ่งเป็นสาวคณะอักษรฯ เทียนรุ่งเป็นลีดประจำมหาวิทยาลัยทำให้ได้พบกับรัตนที่เกิดชอบพอกันเข้า ทั้งสองเริ่มทำความรู้จักกัน ฝ่ายเทียนรุ่งเองก็ไม่ได้รังเกียจอะไรชายหนุ่ม ฝ่ายรัตนไปมาหาสู่ครอบครัวของเทียนรุ่งตลอดจนรู้จักกันดี แต่เมียนรุ่งไม่เคยพบหน้าพ่อแม่ของรัตนเลย จนทราบจากรัตนว่าแม่เขาเสียไปตั้งแต่เด็ก และตั้งแต่นั้นมาพ่อที่เคยอบอุ่นของรัตนก็กลายเป็นพ่อที่ห่างเหินและเอาแต่ทำงาน จนไม่ได้มีเวลาให้กับรัตนทำให้เขาไม่อยากกลับไปบ้านที่กว้างใหญ่แต่ว่างเปล่าสักเท่าไหร่นัก
ระหว่างที่ทั้งสองกำลังรักกันด้วยดีอยู่นั้นเอง รัตนก็ได้แอบทราบความจริงที่พ่อพยายามปกปิดเขาไว้ก็คือตอนนี้ที่บริษัทที่พ่อเขาเป็นเจ้าของอยู่นั้นกำลังประสบปัญหาทางธุรกิจอย่างหนัก รัตนจึงไปคาดคั้นความจริงจากพ่อ และก็ได้ทราบว่าจริงๆ แล้วพ่อรักเขามากขนาดไหน รัตนจึงตัดสินใจช่วยพ่อด้วยการไปเรียนต่อต่างประเทศ ทำให้ต้องแยกทางจากเทียนรุ่งไปชั่วขณะหนึ่ง ระยะทางที่ห่างไกลทำให้เทียนรุ่งเริ่มหวั่นไหว รัตนติดต่อเธอมาทางอีเมลเท่านั้นและเป็นการติดต่อมานานๆ ครั้ง ระหว่างนั้นก็มีกิตติพงศ์ชายหนุ่มฐานะดีมาคอยไปมาหาสู่หญิงสาวถึงบ้าน แม้เธอจะรู้ว่าตัวเองไม่ได้รักเขาเลย แต่ก็อดหวั่นไหวไม่ได้เมื่อรัตนไม่ได้ติดต่อมาเธอมาเลยในช่วงหลัง
ตอนนั้นเองที่ประเทศไทยหนังสือพิมพ์ทุกฉบับก็ลงข่าวการล้มละลายของพ่อของรัตน เทียนรุ่งเป็นห่วงชายหนุ่มมากและอยากให้รู้ว่าเธอพร้อมจะอยู่ข้างเขาเสมอไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นก็ตาม ฝ่ายรัตนที่เรียนอยู่ต่างประเทศนั้นไม่ได้ทราบข่าวการล้มละลายนี้เลย และเพิ่งมีเวลาติดต่อกลับมาหาเทียนรุ่งเพราะเรียนและทำงานตลอดเวลา ขณะกำลังจะพิมพ์ข้อความตอบหญิงสาวอยู่นั้น โทรศัพท์จากทางบ้านก็โทรเข้ามาและคนรับใช้ก็เรียนให้ทราบว่าตอนนี้พ่อของเขากำลังป่วยหนัก มีเวลาเหลืออยู่อีกไม่ถึงหนึ่งอาทิตย์ ชายหนุ่มร้อนรนทันที เดินทางไปสนามบินอย่างเร่งรีบจนถูกรถบรรทุกชน และต้องเข้ารับการรักษาอยู่หลายเดือน
หลายวันต่อมาข่าวก็ลงโครมกระหน่ำการเสียชีวิตของพ่อของรัตน เทียนรุ่งยิ่งวิตกเพราะรัตนยังไม่ติดต่อกลับมา เธอติดต่อไปทางไหนก็ไม่มีการตอบกลับใดๆ กลับมา หกเดือนผ่านไป เธอก็ได้รับข้อความจากชายหนุ่มว่า “ไม่ต้องรอพี่แล้วนะ” ตอนนั้นหญิงสาวไม่รู้เลยว่าเกิดอะไรขึ้น เวลาผ่านไปนานจนทุกเสียงรบเร้าให้เธอแต่งงานกับกิตติพงศ์จนเธอยอมแพ้
ฝ่ายรัตนนั้นกำลังรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาล เขาฟื้นขึ้นมาไม่ทันแม้แต่กลับมาร่วมงานศพพ่อตัวเอง ชายหนุ่มไม่กล้ากลับไปหาเทียนรุ่ง เพราะเขาคิดว่าคนน้ำหน้าอย่างเขาที่ตอนนี้ไม่มีอะไรแล้วจริงๆ นอกจากตัว ใครจะยังอยากได้เป็นแฟนอยู่อีก รัตนเองก็ไม่อยากจะเป็นฝ่ายฉุดหญิงสาวลงมาร่วมกัดก้อนเกลือกินกับเขาด้วย เขาจึงตัดสินใจส่งข้อความนั้นออกไป และรอเวลาจนหายดีแล้วค่อยกลับไปประเทศไทยอย่างเงียบๆ และก็พบว่าเทียนรุ่งกำลังเข้าพิธีแต่งงานและหน้าตาดูมีความสุขดี จึงตัดสินใจจากไปโดยไม่บอกใคร
รัตนไปอาศัยอยู่กับบ้านญาติคนหนึ่งที่เหลืออยู่ทางแถบภาคตะวันออก ที่นั่นเองชายหนุ่มได้ผันตัวเองไปเป็นเด็กวัดที่ใกล้ชิดกับพระ จนเกิดความศรัทธาและตัดสินใจขอบวช บวชอยู่ได้ระยะหนึ่งชายหนุ่มก็ออกธุดงค์จนได้มาก่อตั้งวัดอยู่ที่เชียงรายและกลายเป็นพระหนุ่มที่มีชื่อเสียงเรื่องการนำปฏิบัติธรรม
ฟากเทียนรุ่งหลังจากที่แต่งงานแล้วเธอก็พบว่านิสัยที่แท้จริงของเขานั้นแย่กว่าที่เธอคาดเอาไว้มาก ทั้งสองมีลูกด้วยกันคนหนึ่ง กิตติพงศ์กินเหล้ากลับมาบ้านแล้วก็ทะเลาะกับเธอทุกวันต่อหน้าลูก หญิงสาวเองยอมรับว่าเธอไม่ได้รักเขา แม้แต่น้อยเพราะเอาแต่คิดถึงรัตนอยู่ตลอดเวลา และเธอก็คิดว่าเขาคงรู้เพราะนี่คงเป็นสาเหตุที่เขากระทำตัวต่อเธอแบบนี้ หญิงสาวเครียดกับความสัมพันธ์ระหว่างเธอกับสามีจึงออกเดินทางจากไปปฏิบัติธรรมตามคำแนะนำของพี่สาวที่ให้คำสัญญาว่าจะดูแลลูกของเธอให้ ทั้งสองจึงได้พบกันอีกครั้งที่วัดนั่นเอง
เทียนรุ่งจำชายหนุ่มได้ทันทีเพียงพบหน้าครั้งแรก แต่เธอไม่มั่นใจว่าชายหนุ่มจำเธอได้หรือไม่ จึงพยายามติดต่อชายหนุ่มทุกวิถีทางโดยไม่ต้องระมัดระวังไม่ให้กระทำการน่าเกลียด และต้องคอยระงับใจระลึกไว้เสมอว่าตอนนี้เขาและเธอไม่อยู่ในสถานเช่นเดียวกันแล้ว หญิงสาวจึงติดต่อกับเขาทางจดหมายเพื่อให้เล่าความเป็นไปและสาเหตุของเรื่องราวต่างๆ ในอดีต จนเธอเข้าใจเรื่องราวทั้งหมด
แต่นั่นก็ยิ่งทำให้หญิงสาวมั่นใจมากขึ้นไปอีกว่าตอนนั้นทั้งสองจากกันไปด้วยเหตุที่ไม่ควรเกิดขึ้นเลย เป็นเพียงการคิดไปเองและไม่มั่นใจในตัวทั้งสองฝ่ายเท่านั้น เวลาที่เหลือในการปฏิบัติธรรมหญิงสาวจึงอยู่ด้วยจุดมุ่งหมายของการพยายามเข้าถึงความรู้สึกของพระหนุ่มว่ายังคิดแบบเดียวกับเธออยู่หรือเปล่าเท่านั้น ในคืนสุดท้ายนั้นเอเทียนรุ่งจึงเดินไปหาพระถึงกุฏิ ระหว่างทางนั้นเธอก็พบเขาเข้าในความมืด ยืนรอคอยเธออยู่อย่างนิ่งสงบท่ามกลางแสงจันทร์กระจ่าง ชั่วขณะนั้นสภาพบรรยากาศก็แปรปรวน สายลมพัดกระหน่ำ ฝนสาดลงมาอย่างบ้าคลั่ง ฟ้าร้องคำราม แต่เทียนรุ่งไม่สนใจสิ่งใดนอกจากพระเบื้องหน้าเธอ หญิงสาวเขยิบเข้าไปใกล้เขาและกอดพระไว้แน่น พยายามถ่ายทอดความรู้สึกทั้งหมดที่เธอมีต่อเขาลงไปให้มากที่สุด ด้านพระเองก็นิ่งไปชั่วขณะประหนึ่งทำอะไรไม่ถูก ทันใดนั้นเมื่อเทียนรุ่งคลายอ้อมกอด หญิงสาวเงยหน้าขึ้นและจุมพิตพระหนุ่มที่ริมฝีปาก พระหนุ่มเผลอตัวไปชั่วขณะและเริ่มตอบสนองเธอ ทันใดนั้นเองสายฟ้าขนาดมหึมาก็ผ่าลงมาใกล้ๆ บริเวณนั้นรัตนผลักหญิงสาวออกจนล้มลง ทั้งคู่รู้ตัวในที่สุด
วันต่อมาด้วยพายุกระหน่ำเมื่อวาน ทำให้ชาวบ้านได้รับความเดือดร้อน พระเลยขอความช่วยเหลือจากกลุ่มที่มาฝึกปฏิบัติธรรม และจากเหตุการณ์ในตอนนี้เองทำให้เทียนรุ่งเข้าใจแล้วว่า ถึงพระรูปนี้คือพี่รัตนขอองเธอในอดีต แต่ตอนนี้เวลานี้ท่านคือคนของที่นี่ เธอไม่อาจดึงเขาลงมาจากจุดที่เขายืนอยู่ได้แล้ว เธอเองก็เช่นกัน เธอเป็นภรรยาของชายคนหนึ่งและเป็นแม่ของเด็กอีกคน เทียนรุ่งต้องแก้ปัญหาด้วยตัวของเธอเอง เมื่อเข้าใจดังนั้นเทียนรุ่งจึงปล่อยวาง และตัดสินใจกลับบ้านไปจัดการปัญหาของเธอ
ประเด็นที่ได้จากหนังสือ
การสร้างบาดแผลและการรักษาบาดแผล
หากลองเปรียบว่านวนิยายเรื่องนี้เป็นนวนิยายอิงพุทธศาสนาแล้ว การกลับมาเจอกันอีกครั้งหนึ่งของรัตนและเทียนรุ่งนั้นน่าจะคล้ายคลึงกับการกลับมาชดใช้กรรมที่กระทำต่อกันไว้มากที่สุด แต่หากมองในรูปแบบทั่วไป การพบเจอกันของสองคนนี้และการจากกันไปโดยค้างคานั้น อาจเปรียบเทียบได้กับการที่ทั้งสองมีบาดแผลในใจยังติดค้างอยู่ ยังไปจากกันไม่พ้นเพราะบ่วงที่ติดอยู่ในใจทั้งคู่ การจากลาระหว่างกันย่อมก่อให้เกิดบาดแผลในจิตใจ ทั้งความรู้สึกถูกทอดทิ้ง ความน้อยเนื้อต่ำใจ และความรู้สึกติดหน่วงจากการไม่รับรู้ความจริงจากอีกฝ่ายโดยคลี่คลาย ดังนั้นธรรมชาติจึงรังสรรค์เหตุการณ์ในชีวิตของคนทั้งสองให้ได้กลับมาเจอกันอีกครั้ง เพื่อเยียวยาและรักษากันและกัน เพื่อทำความเข้าใจอีกฝ่ายให้ลึกซึ้งมากที่สุด และปลดปล่อยพันธะใดก็ตามที่ผูกมัดทั้งสองคนไว้ไม่ให้สามารถก้าวไปสู่จุดสูงสุดของชีวิตตัวเองได้นั่นเอง
ผู้เขียนมีความเข้าใจเกี่ยวกับเรื่องของเวรกรรมในทิศทางที่น่าสนใจ ไม่ใช่การชดใช้ ไม่ใช่การถูกทำโทษจากธรรมชาติหรือกฎเกณฑ์ใดๆ แต่เป็นการเยียวยารักษาบาดแผลให้กับอีกฝ่าย เพื่อจุดมุ่งหมายประการหนึ่งคือเยียวยารักษาตัวเองด้วย การใช้เวรใช้กรรมในทัศนะของผู้เขียนจึงคล้ายกับว่าเป็นการทำความเข้าใจและเรียนรู้อีกฝ่ายหนึ่งให้มากที่สุด เพราะนั่นน่าจะเป็นหนึ่งในจุดมุ่งหมายสูงสุดของการเกิดมาเป็นมนุษย์
การก้าวต่อไปข้างหน้าอย่างเข้าใจอดีต
ตอนท้ายของเรื่องที่พระและกลุ่มนักปฏิบัติธรรมได้ไปช่วยเหลือชาวบ้านนั้น ภายหลังคืนที่เทียนรุ่งไปหาพระจิตใจของเธอก็ว้าวุ่นและรู้สึกผิดบาป ระหว่างนั้นเธอก็ได้เห็นว่ารัตนนั้นเป็นประโยชน์และเป็นที่ต้องการของชุมชนนี้มากแค่ไหน เธอเห็นแล้วว่าเขาไม่ใช่รัตนในอดีตที่รักเธออย่างมากมายอีกต่อไป เธอจำเป็นต้องปล่อยให้เขาได้เติบโตไปในทิศทางที่เขาได้เลือกเดินแล้วอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยง ไม่ใช่หน้าที่ของเธอที่จะไปฉุดรั้งเขาไว้ การกระทำนั้นไม่ใช่ความรัก แต่เป็นการเห็นแก่ตัว ความรักที่แท้จริงที่เธอได้เรียนรู้ก็คือการได้ปล่อยสิ่งที่เธอรักได้เติบโตไปข้างหน้าตามทางที่เขาต้องการนั่นเอง
ครั้งหนึ่งขณะที่เธอกำลังเล่นกับเด็กๆ ที่พ่อแม่ไปทำงานซ่อมแซมหมู่บ้านกันหมด ผู้ใหญ่บ้านได้ถามรัตนถึงต้นปีปต้นหนึ่งที่รัตนเคยบอกว่าอยากได้ไปปลูกไว้ในวัด ทางผู้ใหญ่จะให้คนมาช่วยกันขุดหากเขายังต้องการอยู่ เพียงแต่ว่ายากแล้วเพราะต้นโตอาจจะเสียหายได้ เมื่อรัตนปฏิเสธผู้ใหญ่บ้านจึงรีบอธิบายว่าจริงๆ แล้วก็ทำได้ถ้าพระยังอยากได้อยู่จริงๆ แต่ที่ถามเพราะกลัวว่าเขาจะไม่ชอบแล้ว รัตนจึงตอบไปและเหมือนจะสื่ออะไรถึงเทียนรุ่งไปด้วยในตัวว่า
“ยังชอบอยู่สิ แต่ถ้าเราชอบอะไรมากก็ควรทำตามความต้องการของสิ่งนั้น ไม่ใช่ความต้องการของเราเอง อาตมาว่าถ้าเขาโตขนาดนั้นเขาคงพอใจที่จะอยู่ที่เดิม จะได้มีบริเวณกว้างขวางพอที่จะแผ่กิ่งก้านได้เต็มที่...วัดอาตมาตอนนี้ก็มีต้นไม้เต็มไปหมดแล้ว เขาจะอึดอัดเปล่าๆ...”
ด้วยประโยคนี้เองที่ทำให้เทียนรุ่งเข้าใจถึงความรักที่แท้จริง นอกจากนี้ยังเข้าใจเรื่องการเติบโตเพื่อก้าวไปข้างหน้าในที่ของตนด้วย รัตนอยู่ที่นี่แล้ว เขาเป็นคนของที่นี่ สถานที่และคนในหมู่บ้านแห่งนี้ต้องการเขา เป็นเรื่องราวในส่วนของชีวิตเขาที่เธอคงไม่อาจก้าวก่ายเข้าไปยุ่งเกี่ยวได้ด้วยแล้วอีกต่อไป และเธอเองก็มีครอบครัวที่บ้าน ถึงสามีที่เลวร้ายของเธอจะกระทำตัวแย่อย่างไรแต่นั่นก็เป็นอีกหนึ่งปัญหาที่เทียนรุ่งต้องจัดการด้วยตัวเธอเอง รับมือและเติบโตไปในที่ที่เป็นของเธอ รวมทั้งลูกน้อยๆ ของเธอที่ต้องการแม่ที่ใส่ใจและดูแล ทั้งหมดนี้เป็นชีวิตของเธอที่เธอต้องรับผิดชอบ ในอดีตทั้งสองอาจเป็นคนรักที่ผูกพันกันมาก แต่ปัจจุบันนี้เมื่อเรื่องราวในอดีตได้รับการสะสางแล้ว ชีวิตของทั้งสองก็ต้องก้าวต่อไปเหมือนต้นปีปต้นนั้น ในสถานที่ที่ตนพอใจ ไม่อึดอัด เติบโตและงอกงามกลายเป็นต้นไม้สวยสะพรั่งที่สร้างประโยชนืแก่คนรอบข้างได้อย่างสูงสุดนั่นเอง.