
The Departures
The Departures.. ความสุขนั้น นิรันดร: เรื่องราวของผู้ประกอบอาชีพโนคังฉิในประเทศญี่ปุ่น หรือผู้รับหน้าที่บรรจุศพลงโลงก่อนนำไปเผา (departure n. การตาย, การออกเดินทาง, การจากไป) เส้นเรื่องหลักของหนังเรื่องนี้คือ การแสดงให้เห็นถึงความสำคัญของการตายและการมีชีวิตอยู่ หนังบอกเล่าช่วงขณะสองช่วงนี้สลับไปมาตลอดเส้นเรื่องได้อย่างราบรื่น แนบเนียน และชัดเจนตั้งแต่ต้นจนจบ ยิ่งความตายที่ตัวเอกพบเจอหนักหนาเพียงใด ความสำคัญของการมีชีวิตอยู่ยิ่งทวีคูณเพิ่มมากขึ้นเท่านั้น
จะขอกล่าวถึงฉากที่ตัวเอกต้องทำงานกับศพรายแรก (คุณป้าวัยชราที่อยู่ตัวคนเดียวและพบว่าตายมาแล้วกว่า 2 อาทิตย์) หลังจากที่ตนเพิ่งรับงานทำมาได้ไม่กี่วันและยังสับสนงุนงงว่างานนี้ต้องทำอย่างไร งานหนักงานแรกก็มาถึงตัวเอกของเราแบบไม่ทันให้ตั้งตัว เป็นศพคนแก่ที่ตายไปแล้วกว่าสิบวัน แน่นอนว่าสภาพคงไม่น่าดูเท่าไรนัก สัญลักษณ์ในฉากนั้นก็ชัดเจน ตัวบ้านรกร้างที่สื่อถึงการอยู่ตามลำพังและความโดดเดี่ยวอ้างว้าง การเน่าสลายผุพังของทั้งคนและสถานที่ ความหนาวเหน็บเย็นชาของบ้าน ความน่าขยะแขยงและเน่าเหม็นของศพและสิ่งต่างๆ ในฉาก (เนื้อสัตว์ อาหาร ของเน่าต่างๆ) เหล่านี้คือองค์ประกอบของความตายที่ตรงไปตรงมาที่สุดในความคิดของมนุษย์ปุถุชนเช่นพวกเรา
อาจเรียกได้ว่าตัวบทนำพาเอาความตาย (ที่ชัดเจนมาก) มาตีแสกหน้าพระเอกได้อย่างกะทันหันและรุนแรง ไม่มีความหมายใดของความตายที่ชัดเจนไปกว่าความหมายดังกล่าวอีกต่อไปแล้ว (ส่วนความหมายในมิติอื่นนั้น ค่อยๆ ถูกขยายเรื่อยไปอย่างประณีตตามสิ่งที่ตัวเอกต้องพบเจอในภายหลัง) เป็นการกระตุ้นให้ตัวเอกทำความเข้าใจเรื่องนี้ให้เร็วที่สุด โดยใช้วิธีการที่เฉียบขาด ชัดเจน และปฏิเสธไม่ได้ เพราะความตายนั้นไม่รั้งรอ ไม่ปรานีหรือละเว้นผู้ใด อิทธิพลอันน่าเกรงขามของความตายแสดงพลังอำนาจอันไม่น่าเชื่อแก่ตัวเอกของเรา ความตายเผยตัวตนที่ทรงพลังที่สุดของมันให้เขาได้เห็นอย่างรวดเร็วและเด็ดขาด โดยไม่แยแสว่าเขาเพิ่งทำความรู้จักกับมันได้ไม่นานนัก
เมื่อพบศพแล้ว สิ่งที่ท่านประธาน (หัวหน้าตัวเอก) แสดงให้ตัวเอกเห็นคือความนิ่งสงบและไม่สะทกสะท้าน (ท่านประธานในที่นี้ตามความหมายของหนังทั้งเรื่องแล้วน่าจะเป็นผู้นำทางให้กับตัวเอก ที่นัยหนึ่งเรื่องราวทั้งหมดนี้คือการเดินทาง (departure) ของเขา จึงต้องมีผู้นำทางซึ่งก็คือท่านประธานมานำทางด้วยการแสดงให้ดูว่าต้องทำอย่างไร)
หลังจากฉากนั้น สิ่งที่ตัวเอกพบต่อมาคือความรังเกียจและขยะแขยงจากผู้อื่น การขึ้นรถเมล์ (ที่ในความหมายหนึ่งก็ถือเป็นการเดินทางอย่างหนึ่งเช่นกัน) ระหว่างทางของเขาทำให้พบเจอกับเด็กสาวบนรถเมล์ที่ได้กลิ่นเน่าเหม็นของศพจากตัวเขา ในที่นี้เด็กสาวเหล่านั้นน่าจะเป็นตัวแทนของคนทั่วไปที่รังเกียจและกลัวความตาย เพราะความไม่รู้ ไม่เข้าใจ และความกลัวนั่นเอง ด้วยรู้สัจธรรมที่ว่าอย่างไรเราก็ต้องตาย แต่ก็กลัวเพราะไม่รู้ว่าความตายที่แท้นั้นเป็นอย่างไรกันแน่ ที่ต้องแสดงออกมาอย่างชัดเจนกลับกลุ่มเพื่อนก็เพื่อหาพรรคพวกร่วมกันว่าฉันกลัวนะ ฉันยังไม่อยากตายนะ เพราะถึงแม้เข้าใจว่าคนเราต้องตาย แต่ก็ไม่อาจแตกฉานถึงความตายได้อย่างลึกซึ้ง เมื่อไม่อาจเข้าถึงได้จึงก่อเกิดเป็นความกลัวเพราะความไม่รู้ แต่ก็ยังรู้ซึ้งดีถึงพลังอำนาจอันเที่ยงแท้และไม่ผันแปรของมัน สัจธรรมเดียวในโลกที่ยืนยงคงกระพันโดยไม่อาจมีใครโค่นล้มได้นับแต่เริ่มต้นห้วงเวลา สิ่งที่ชัดเจนที่สุดของฉากนี้คือการแสดงออกซึ่งท่าทีรังเกียจความตายของคนทั่วไป ฉากนี้กำลังสอนตัวเอกให้รับรู้ว่าเส้นทางและหน้าที่ที่เขาเลือกนั้นจะนำพาเขาไปสู่ความโดดเดี่ยว แปลกแยก และไม่ได้รับการยอมรับอย่างเข้าใจให้ถ่องแท้ (ไม่ต่างอะไรกับความตายเลย)

ฉากต่อมาคือฉากที่กลับมาบ้านกินข้าวกับภรรยา ตัวเอกแค่เห็นเนื้อไก่สดก็เกิดขยะแขยงนึกถึงศพที่ตนเจอวันนี้จนเกิดอาเจียน ฉากที่สำคัญคือการดึงภรรยาเข้ามากอดและแสดงความรัก ในที่นี้น่าจะหมายถึงการโหยหาการมีชีวิตอย่างถึงที่สุด ในบ้านหลังนี้ บ้านที่มีคน มีอาหาร สัญลักษณ์ในบ้านนี้ชัดเจนไม่แพ้บ้านหลังที่แล้ว ความอบอุ่นของแสงไฟและสีสันในบ้าน ความมีชีวิตชีวาของภรรยา (ที่ในฉากนี้ทำหน้าที่เป็นตัวแทนแห่งการมีชีวิตอยู่ได้ชัดที่สุด) ทั้งความสดของอาหาร ความสะอาดของบ้าน การอยู่ร่วมกัน การแสดงออกซึ่งความรักให้แก่กันและกัน ทั้งหมดนี้คือตัวแทนที่ชัดเจนที่สุดของการมีชีวิตอยู่ ตัวเอกของเรานั้นเจอสถานการณ์ที่พาให้หดหู่ที่สุดในชีวิตมาแล้ว และคล้ายว่ากลัวตัวเองจะกลายเป็นส่วนหนึ่งของความตายอันแสนหนาวเหน็บไปด้วย จึงต้องไขว่คว้าหาความอบอุ่นของการมีชีวิตมาไว้ที่ตนโดยเร็วที่สุด หนึ่งเพื่อให้แน่ใจว่าตนยังมีชีวิตอยู่ สองเพื่อหลบลี้จากความตายอันแสนกะทันหันที่ตนเพิ่งได้ประสบมานั่นเอง
ในขณะที่ความตายแสดงอำนาจเหลือล้น การมีชีวิตอยู่กับวางตัวสงบนิ่งอย่างเรียบเฉยและไม่สะทกสะท้าน มันจะไม่แสดงตัวออกมาจนกว่าจะมีใครตระหนักถึงมัน แท้จริงแล้วสองสิ่งนี้ไม่ใช่ขั้วตรงข้าม แต่คือสิ่งที่เป็นเหตุเป็นผลของกันและกัน เมื่อมีชีวิตก็ต้องตาย เมื่อรู้ว่าต้องตาย ก็จงใช้ชีวิตให้ดีที่สุด.
